วันอังคารที่ 29 กันยายน พ.ศ. 2552
Rabbit : Bunny : Hare
มันต่างกันอย่างไรละเนี่ย มันจะเหมือน dog กะ puppy ไหมนะ แบบว่า สุนัขโตกะสุนัขเด็กๆ เลยต้องหาคำตอบให้มันกระจ่างซะหน่อย
จากการค้นหา พบว่าการใช้ของทั้งสองคำ ไม่ได้แตกต่างกัน เพียงแต่คำว่า bunny ถูกแตกออกมาจาก rabbit ซึ่งมักจะเอาไว้ใช้เรียกลูกกระต่าย หรือกระต่ายเด็กๆ เพื่อให้ดูน่ารัก และชัดเจนมากขึ้นเมื่อเราจะเรียกลูกกระต่าย
และยังพบคำศัพท์อีกคำคือ Hare (แฮร์) ซึ่งมีความหมายว่า กระต่ายป่า ซึ่งจะมีความหมายใกล้เคียงกับ Jack rabbit ที่มีแปลว่า กระต่ายขนาดใหญ่ในทวีปอเมริกาเหนือ เนื่องจากทั้ง Hare และ Jack rabbit มีหูและขาหลังยาวมาก ขนาดตัวก็จะใหญ่กว่ากระต่ายบ้าน (Rabbit)
คงจะกระจ่างกันไม่มากก็น้อย แต่เอาเป็นว่าถนัดคำไหนก็ใช้คำนั้น เพราะค้นใน google ผลที่ได้ก็ไม่ต่างกันซักเท่าไหร่นะจ๊ะ
วันเสาร์ที่ 26 กันยายน พ.ศ. 2552
วิธีเลี้ยงกระต่าย : การจับกระต่าย
ห้ามหิ้วหูกระต่ายเด็ดขาด เพราะอาจจะทำให้เค้าถึงแก่ชีวิตได้ เคยได้ความรู้เรื่องนี้จากคุณหมอ ว่า หูกระต่ายจะมีเส้นเลือดใหญ่ เส้นประสาท อยู่มาก
การที่หิ้วแต่หูเค้านั้น อาจทำให้เส้นเลือด เส้นประสาท เกิดอาการบาดเจ็บ ทำให้เค้าเจ็บปวด และอาจเป็นสาเหตทำให้กระต่ายหูตก (ไม่รวม lop นะ นั่นน่ะ หูตกอยู่แล้ว อิอิ) จนบางครั้งถึงแก่ชีวิตเค้าได้
ความเชื่อที่ว่าจับกระต่ายโดยการหิ้วหูนั้น มาจากกลุ่มคนที่เค้าทานเนื้อกระต่าย เวลาเค้าล่ากระต่ายมาได้เค้าจะหิ้วหู เพราะกระต่ายจะไม่ดิ้นเลย นั่นเพราะเค้าเจ็บมากนั่นเอง (T_T)
กระต่ายเป็นสัตว์ที่ตกใจง่าย ดังนั้นการจับกระต่ายจะต้องทำด้วยความนุ่มนวลและ ถูกวิธีเพื้อความปลอดภัยของตัวกระต่ายและตัวผู้จับด้วย
การจับกระต่ายที่ถูกวิธีมีดังนี้
1. ลูกกระต่าย ใช้มือที่ถนัดจับหนังบริเวณสะโพกให้มั่นคง แล้วยกขึ้นตรง ๆ
2. กระต่ายขนาดกลาง ใช้มือขวา (หรือมือที่ถนัด) จับหนังเหนือไหล่ให้มั่นคง อาจรวบหูมาด้วยก็ได้ มือซ้ายรองใต้ก้นให้ด้านหน้าของกระต่ายหันออกนอกตัวผู้จับ
3. กระต่ายใหญ่ ใช้มือขวาจับแบบวิธีที่ 2 แล้วยกอ้อมขึ้นมาทางช้ายมือใช้แขนช้าย หนีบให้แนบชิดลำตัวโดยใช้มือซ้ายช่วยประคองก้น ให้หน้ากระต่ายหันไปทางหลังของผู้จับ และขากระต่ายชี้ออกนอกตัวผู้จับ

ลองทำตามกันดูนะจ๊ะ
ขอบคุณข้อมูลจาก http://web.ku.ac.th/agri/rabbit/catch.htm
วันพฤหัสบดีที่ 24 กันยายน พ.ศ. 2552
งด ซื้อ-ขาย กระต่ายเด็ก
"กระต่ายเด็ก" สงสัยไหมว่าเป็นยังไง - -?
ก็กระต่ายที่ยังไม่หย่านมแม่ไง หรือกระต่ายที่มีอายุตั้งแต่ แรกเกิด จนถึงช่วงประมาณ 1 เดือนครึ่งหรือ 2 เดือน ดูท่าทางการเดินยังไม่คล่อง ตายังดูปรือ ลืมตาไม่เต็มที่ ขนาดตัวเล็กกว่าฝ่ามือ แบบนี้ละสงสัยก่อนเลยว่าเป็นกระต่ายเด็กซึ่งกระต่ายจะกินนมแม่เพียงอย่างเดียวในช่วงอายุประมาณ 20 วันแรกนับจากวันคลอด และเริ่มกินนมแม่ลดลง จนถึงอายุประมาณ 1 เดือนครึ่ง ถึง 2 เดือน
โดยกระต่ายในช่วงอายุประมาณ 2 สัปดาห์ ขนกำลังขึ้นสวย ตัวขนาดฝ่ามือน่ารักกำลังดี ไม่ว่าจะเป็นพันธุ์ไหน ใครเห็นก็ต้องบอกว่าน่ารักน่าชัง กันทั้งนั้น
และนี้ก็ทำให้พวกพ่อค้าแม่ค้า นำลูกกระต่ายมาขาย เพราะเห็นแล้วใจอ่อนกันทุกคน เคยเจอพ่อค้าแม่ค้าบางคนบอกว่า มันเป็นกระต่ายแคระ - -! (กระต่ายแคระไม่มีในโลก) หลอกกันเห็นๆแล้วถ้าเป็นคนที่ไม่เคยเลี้ยง หรือคนที่ไม่ได้ศึกษาข้อมูลก่อนเลี้ยง ส่วนมากจะหลงเชื่อกัน
แล้วถ้าซื้อมาจะเป็นไงละ - -?
ตอบได้อย่างเดี๋ยวว่าถ้าเป็นมือใหม่ ส่วนใหญ่กระต่ายเด็กมักไม่รอด เพราะเค้าเพิ่งได้นมแม่แค่ 2 สัปดาห์เอง (ได้นมแม่อย่างเต็มที่หรือเปล่าก็ไม่รู้ เพราะต้องมาโชว์ตัวตอนขาย เวลาไม่ได้ขายก็ไม่รู้ว่าได้อยู่กับแม่ไหม T_T) แล้วคนขายก็จะบอกว่ากินผักกินหญ้าได้ กินอาหารเม็ดได้ แล้วคนที่ซื้อเมื่อซื้อมา ก็หลงเชื่อ
"น่าสงสารมาก" บอกได้คำเดียว คิดดูว่าระบบการย่อยของเค้ายังพัฒนาไม่เต็มที่ เหมือนกับคนเราที่รณรงค์ให้แม่ป้อนนมลูก นับประสาอะไรกับกระต่ายตัวน้อย เค้าก็ต้องการนมแม่เพื่อสร้างภูมิคุ้มกัน และเพิ่มแบคทีเรียในระบบการย่อยของเค้าเช่นกัน แต่ถ้าคนซื้อเป็นคนที่เคยเลี้ยงมาแล้ว ขอบอกว่าไม่มีทางหลงกลซื้อกระต่ายเด็กอย่างแน่นอน
ส่งท้าย ขอบอกว่ารอให้เค้าโตขึ้นมาอีกนิด ความน่ารักน่าชังเหมือนเดิม (อาจจะมากขึ้นด้วยนะ) ถ้าอยากจะเลี้ยงขอให้พิจารณาดีๆ ดูสภาพร้านที่น่าเชื่อถือว่าจะมีจรรยาบรรณเพียงพอที่จะไม่นำกระต่ายเด็กมาขายนะจ๊ะ
rabbitlily แห่งนี้ ขอรณรงค์ ต่อต้านการซื้อ-ขายกระต่ายเด็ก จ้า
วันพุธที่ 23 กันยายน พ.ศ. 2552
วิธีเลี้ยงกระต่าย : ฝึกกระต่ายให้ฉี่เป็นที่
จำได้ว่าอยากจะฝึกให้น้อง milk ฉี่ให้เป็นที่เพราะ อยากจะปล่อยให้เค้าวิ่งเล่นภายในบ้านได้แต่ตอนที่ปล่อยครั้งแรก น้องmilk ฉี่ไปทั่ว นึกอยากจะปล่อยตรงไหนก็หย่อนก้นทันที ทำเอาปวดหัวเลยต้องศึกษาหาความรู้กันซะหน่อยว่า กระต่ายสามารถฝึกได้ไหม
จากการหาข้อมูลจากหลายๆ เว็บก็บอกว่า สามารถฝึกได้ โดยบางตัวเค้าก็สามารถวิ่งกลับไปฉี่ที่กรงของตัวเอง หรือบางตัวก็ฉี่บนถาดที่เจ้าของจัดไว้ให้ โดยถาดที่ใช้บางคนก็ซื้ออุปกรณ์ที่เรียกว่าห้องน้ำกระต่ายให้ จะเป็นถาดสามเหลี่ยมเข้ามุมได้เพราะปรกติกระต่ายชอบฉี่ตามมุมห้องนะ เท่าที่สังเกต แต่บางคนก็ประหยัดงบ โดยดัดแปลงเอาถาดคว่ำแก้วขนาดพอดีกับตัวกระต่ายมาใช้ก็ได้ เพราะเราเองก็ใช้ถาดคว่ำแก้วนี้แหละ
เมื่อหาอุปกรณ์ได้ จากนั้นก็หามุมที่เค้าชอบไปฉี่บ่อยๆ วางถาดไว้ แล้วคอยสังเกตว่ากระต่ายเข้าไปใช้ไหม ถ้าหนีไปฉี่ที่อื่น ก็ต้องคอยดูว่ากระต่ายจะฉี่หรือยัง ถ้าตั้งท่าจะฉี่ ให้รีบอุ้มมาไว้บนถาด ฝึกเค้าบ่อยๆ เค้าก็จะจำได้เอง ซึ่งน้อง milk ทำได้ด้วยแต่ถ้าปล่อยกระต่ายตัวอื่นออกมาวิ่งด้วยละก็ อาจมีนอกลู่นอกทางกันบ้าง อันนี้ต้องทำใจ อิอิอิ
ช่วงที่ฝึก ถ้าเค้าฉี่ไม่เป็นที่แล้วเราเจอพอดี ให้ดุเค้าโดยการใช้มือกดหัวเค้าเล็กน้อย ให้รู้ว่าเราดุ แล้วเค้าจะหมอบ จากนั้นเราค่อยปลอบเค้า คุยกะเค้าดีๆ
ย้ำว่าต้องดุตอนที่เห็นคาตาเท่านั้นนะ ไม่งั้นเค้าจะไม่รู้หรอกว่าเราดุเค้าเรื่องอะไร อิอิ
เพื่อนๆก็ลองฝึกกันดูนะ อาจจะดื้อไปบ้าง ซนไปนิด อย่าท้อถอย ลองฝึกกันต่อไป แล้วจะเจอความน่ารักสดใส ของกระต่ายเป็นรางวัล
วันอังคารที่ 22 กันยายน พ.ศ. 2552
วิธีเลี้ยงกระต่าย : การอาบน้ำกระต่าย
หลายคนที่เลี้ยงกระต่ายใหม่ๆ มักจะมีคำถามที่ว่า ต้องอาบน้ำให้กระต่ายหรือไม่?
คงต้องบอกว่าจากประสบการณ์ และการค้นหาข้อมูลจากผู้รู้ ขอตอบว่าไม่ต้องก็ได้โดยปรกติกระต่ายเค้าจะทำความสะอาดตัวเอง ดูแลตัวเองอยู่แล้ว จะเห็นได้จากการที่เค้าเลียตัวเองบ่อยมาก แต่งตัวทั้งวัน O_o และหากอาบน้ำให้ไม่ดีอาจเสี่ยงต่อการที่เค้าจะไม่สบายเป็นหวัดได้
ถ้าอยากจะทำความสะอาดให้จริงๆ ก็เอาแค่ผ้าชุบน้ำมาลูบตัวกระต่าย หรือบริเวณที่จะทำความสะอาดก็ได้ แล้วก็แปรงขน โดยเฉพาะกระต่ายพันธุ์ขนยาวควรแปรงขนให้เป็นประจำ เพราะถ้าขนพันธุ์กันมากๆ จะเป็นก้อนและอาจเป็นแหล่งสะสมเชื้อโรคได้
แต่ถ้าสกปรกจริงๆ แบบที่ชอบเอาก้นจุ่มฉี่ตัวเองประจำ จนก้นเหลืองขนพันกันละก็ ใช้วิธีการล้างเฉพาะส่วนก็น่าจะพอ แต่ที่สำคัญเลือกใช้แชมพูที่เหมาะสมกับกระต่าย และต้องมั่นใจว่าล้างแชมพูที่ใช้จนเกลี้ยงจริงๆ (เพราะกระต่ายจะเลียซ้ำ ถ้าล้างไม่หมดอาจจะอันตรายต่อเค้าได้) และเป่าขนเค้าให้แห้งสนิท ไม่งั้นอาจเป็นเชื้อรา (ลมที่ใช้เป่าระวังอย่าร้อนไปนะจ๊ะ)จากนั้นแปรงขนให้เรียบร้อย ทีนี้ก็จะได้กระต่ายตัวหอมกะเค้าแล้ว (แต่ไม่น่าจะนานนะเพราะกระต่ายจะรีบหลบมุมไปเลียตัวใหม่หมดทั้งตัวจนเป็นกลิ่นเค้าเอง - -!)
สำนวนกับกระต่าย
นั่งนึกถึงคำสำนวนต่างๆ ที่เกี่ยวข้องกับกระต่าย ไม่รู้ว่ามีอะไรบ้าง เลยลองหาๆดู มีความหมายมาให้ด้วย
1. กระต่ายหมายจันทร์
กระต่ายหมายจันทร์ หมายถึง การหวังในสิ่งที่เกินตัว มักใช้เปรียบเทียบความรักของผู้ชายกับผู้หญิง โดยฝ่ายชายต่ำต้อยไปหลงรักผู้หญิงที่สูงส่งกว่าตน
2.ยืนกระต่ายสามขา หรือ ยืนกระต่ายขาเดียว
ยืนกระต่ายสามขา หรือ กระต่ายขาเดียว หมายถึง พูดยืนยันคำเดียว โดยไม่เปลี่ยนความคิดเดิม มักจะใช้ว่ายืนกระต่ายขาเดียวหรือ ยืนกระต่ายสามขา
3.กระต่ายตื่นตูม
กระต่ายตื่นตูม มักใช้เปรียบเทียบคนที่แสดงอาการตื่นตกใจง่าย โดยที่ไม่ทันสำรวจให้แน่นอนเสียก่อน (แต่กระต่ายบางตัวไม่เป็นนะอย่างน้องmilk ไง 555)
4.กระต่ายแหย่เสือ
กระต่ายแหย่เสือ หมายถึง การล้อเล่นกับสิ่งที่อันตรายเป็นอย่างมาก อย่างที่กระต่ายไม่ควรไปแหย่เสือเพราะอาจถูกจับกินเป็นอาหารได้นั่นเอง
5.หนวดเต่าเขากระต่าย
หนวดเต่าเขากระต่าย หมายถึง ของที่หาไม่ได้ โดยส่วนมากมักจะหมายถึงของดีกว่าของธรรมดา ย่อมหาไม่ได้
เท่าที่ค้นเจอก็มีเท่านี้ ถ้าใครเจออีกอย่าลืมมาบอกเล่ากันด้วยนะจ๊ะ....*-*
ยาสามัญประจำกระต่าย
อย่างแรกที่เริ่มศึกษาหาข้อมูลในการเลี้ยง ไม่ได้เคยนึกถึงว่าจะต้องมีการเตรียมยาไว้ให้เค้าด้วย แต่จากการที่เลี้ยงมาได้ 7 ปี ทำให้รู้ว่าอย่างน้อยก็น่าจะต้องมีสิ่งเหล่านี้เตรียมไว้บ้าง
1.เบตาดีน
ทำไมต้องเบตาดีน อย่างแรกถ้าใช้แอลกอฮอล์กระต่ายก็จะแสบแผล (ขนาดคนยังแสบเลย T-T)แล้วมันก็ใช้ฆ่าเชื้อโรคได้ เมื่อเวลากระต่ายซนมีแผล ยิ่งถ้าใครเลี้ยงหลายตัว แล้วเกิดการต่อสู้กันจะได้ทำความสะอาดแผลให้น้องกระต่ายได้
2.Laxatone (แล็กซาโทน)
อันนี้แก้อาการก้อนขน เวลาที่กระต่ายเริ่มมีอาการ กินอาหารน้อยลง เริ่มอยู่นิ่งๆ ไม่ค่อยแต่งตัว ไม่ดูแลตัวเองท้องป่องๆ ก็จะเริ่มป้อน laxatone ให้ จากที่ใช้อยู่จะใช้หลอดสีแดง ป้อนครั้งละ 3 cc.เช้า-เย็น ซึ่งอันนี้คุณหมอแนะนำว่ากินได้ถ้าหากเราสงสัยว่าเค้าจะมีก้อนขนในท้อง โดยปรกติจะให้อยู่ 3 วัน ถ้าอาการไม่ดีขึ้นก็ควรพาไปหาหมอ
3.ยาคูลท์
สงสัยละสิว่ามันยาตรงไหน ขอบอกว่าเป็นพระเอกเลยละ เพราะโดยปรกติในกระเพาะของกระต่ายจะมีแบคทีเรียที่เป็นชนิดเดียวกันกับแบคทีเรียในยาคูลท์(อันนี้หมอบอกมา) กระต่ายบางครั้งที่เค้ากินน้อยลงอาจจะไม่ใช่ว่าเค้าเป็นก้อนขนเสมอไป แต่อาจเป็นเพราะแบคทีเรียชนิดนี้มีน้อย ทำให้อาหารย่อยยาก โดยเฉพาะถ้ากินแต่อาหารเม็ด เราก็ต้องเพิ่มแบคทีเรียให้เค้า แต่จริงๆแล้ว ถ้าใครที่เลี้ยงกระต่ายจะสังเกตว่า กระต่ายจะมีอึอยู่ 2 แบบ แบบที่เป็นก้อนกลมแข็งๆ และแบบพวงองุ่นแบบพวงองุ่นจะมีแบคทีเรียชนิดนี้อยู่เหมือนกัน โดยปรกติที่ให้เองจะให้ เช้า-เย็น ครั้งละ 3-5 cc. แต่ไม่ควรเกิน 3 วัน ถ้ากระต่ายยังไม่ยอมกินอะไรอีกควรพาไปหาหมอจะดีกว่า
เท่าที่เลี้ยงมามี 3 อย่างนี่แหละที่ใช้เสมอ แต่ก็อย่างที่บอกว่ากระต่ายเป็นผู้ถูกล่าตามธรรมชาติ เค้ามักจะปกปิดอาการเจ็บป่วยของตัวเองผู้เลี้ยงควรจะเอาใจใส่เป็นพิเศษ หากการผิดสังเกต ไม่ควรปล่อยไว้นานควรรีบพาไปหาหมอโดยเร็ว ไม่งั้นคุณอาจจะต้องมานั่งเสียใจทีหลังนะจ๊ะ
ปล. ส่วนอาการ ท้องเสีย เป็นหวัด ฯลฯ แนะนำให้ปรึกษาหมอเลยดีกว่า เพราะส่วนตัวแล้วไม่ค่อยให้ยาเอง อย่างพวกยาห้ามถ่าย อะไรพวกนี้
ไม่เลือกสายพันธุ์

โดยส่วนตัว ตอนที่ซื้อน้อง milk อย่างที่บอก มันเป็นรักแรกพบจริงๆไม่เคยสนใจเลยว่าเค้าเป็นพันธุ์แท้มั้ย พอตกลงปลงใจรับเค้าเข้ามาในชีวิตถึงสนใจถามว่าเค้าเป็นพันธุ์อะไร ตอนที่ซื้อเจ้าของบอกว่า Lionhead แต่เอาไปให้ใครๆ ดูก็บอกว่าพันธุ์ผสม แล้วบอกเราว่า "เรานะโดนคนขายหลอก" O_O
เมื่อได้ยินดังนั้นก็กลับมาคิดว่าเราถูกหลอกเหรอ เพราะคนซื้อเค้าก็ไม่ได้หลอกเรานะ เพราะเราซื้อเค้าแล้วถึงสนใจเรื่องสายพันธุ์ *-*
แล้วถ้าถามว่าพอรู้ว่าน้อง milk ไม่ใช่พันธุ์แท้ ยังรักน้อง milk ไหม? บอกได้เลยว่ารักเหมือนเดิม ยิ่งอยู่กะเค้านานขึ้นก็รักมากขึ้น ไม่เคยรักน้อยลงเลย
แต่บางคนพอรู้ว่ากระต่ายตัวเองไม่ใช่พันธุ์แท้ก็ไม่รัก ผลักไสเค้า ไม่ใช่แค่เฉพาะกระต่ายนะ ขอรวมสัตว์เลี้ยงทุกตัวเลยแค่เค้าไม่ใช่พันธุ์แท้ บางคนเอาถึงกับเอาไปปล่อย บ้างก็ไปโวยวายที่ร้านที่ซื้อมาจะขอเปลี่ยนไม่เอากระต่ายที่ซื้อแต่ก็นะคนที่ซื้อสายพันธุ์แท้แล้วไม่ได้พันธุ์แท้อย่างที่ต้องการก็คงเสียความรู้สึก และต้องซื้อของที่แพงกว่าความเป็นจริงเลยอยากจะขอให้คนที่ขายกระต่ายหรือสัตว์เลี้ยงชนิดอื่นๆ ให้ค้าขายกันอย่างบริสุทธิ์ใจกันหน่อย แท้ก็บอกแท้ ไม่แท้ก็บอกกันตรงๆ ราคาก็ขอแบบยุติธรรม เพราะคนซื้อที่เป็นอย่างคนเขียนมีเยอะนะ ที่ไม่สนหรอกว่ากระต่ายที่ซื้อจะเป็นพันธุ์แท้หรือไม่ ขอแค่เจอหน้า เห็นแล้วรักก็โอเคแล้วละ
ก็ไม่ว่าจะรักพันธุ์แท้ หรือจะชอบพันธุ์ทาง ก็ขอให้คนที่มีสัตว์เลี้ยงทุกคน รักและเอาใจใส่สัตว์เลี้ยงของตัวเองให้มากๆนะคะแม้เค้าจะพูดไม่ได้ แต่ก็มีหัวใจนะ
วันจันทร์ที่ 21 กันยายน พ.ศ. 2552
วิธีเลี้ยงกระต่าย : การให้อาหารกระต่าย
พอดีได้ไปเจอกับบทความดีๆ และรู้สึกเห็นด้วยเป็นอย่างมากในหลายๆประเด็น เกี่ยวกับการให้อาการกระต่าย เลยเอามาฝากกัน
ขอเริ่มต้นด้วยเรื่องที่ไม่อยากพูดถึงเลย – แต่ไม่เอ่ยถึงเสียก็คงจะไม่สบายใจ นั่นก็คือ การที่ พ่อ ๆ- แม่ ๆ ของน้องต่าย บางราย ที่อาจจะติดนิสัยจากการเลี้ยงหมาเลี้ยงแมวมา แล้วก็เลยเผลอไผลไปว่า กระต่าย ก็เป็นสัตว์เลี้ยงเหมือนกัน คงไม่ต่างอะไรกับหมากับแมว ว่าแล้วก็....ให้กระต่ายกินอะไรอย่างที่เรากินเพราะเคยให้หมาให้แมวแล้วมันก็กิน มีบางคนเล่าว่า แบ่งขนมให้กระต่ายกินบ้าง บางรายหนักถึงขนาดกินข้าวมันไก่ ก็แบ่งข้าวแบ่งไก่ให้กระต่ายกิน เลยได้รับ “คำเตือน” จากเพื่อน ๆ ไปเยอะพอสมพอควร
กระต่ายนั้น แม้จะมีสี่ขา มีขนยาว แต่ก็ต่างกับหมา-แมวโดยสิ้นเชิง หมา-แมว นั้น โดยธรรมชาติเป็นสัตว์นักล่า และกินเนื้อเป็นอาหารหลัก แต่กระต่าย เป็นผู้ถูกล่า และเป็นสัตว์มังสวิรัติคือไม่กินเนื้อเลย ระบบย่อยอาหารก็คนละเรื่องกันเลย ดังนั้น อย่าให้อะไรกับกระต่ายกิน ถ้ามันไม่ใช่อาหารสำหรับกระต่าย และแม้ว่าอาหารบางอย่าง กระต่ายจะกินได้ แต่ขอให้ระวังเรื่องปริมาณ เช่น คุณอาจให้มะละกออบแห้งชิ้นขนาด 1 x 1 ซ.ม. สัก 1 ชิ้น กับกระต่ายได้ เพราะไม่มีอันตรายอะไร แต่ ถ้าให้สัก 10 ชิ้นล่ะ?
พึงนึกไว้เสมอว่า คนเรามี น้ำหนัก ประมาณ 50-60 เท่า ของน้ำหนักกระต่าย ดังนั้น อะไร 1 ชิ้นสำหรับเรา จะมีปริมาณเท่ากับ 50-60 ชิ้น สำหรับกระต่าย นึกไว้อย่างนี้เสมอ ๆ จะช่วยเตือนให้เราระวังยั้งมือ ไม่ให้ความรักความเอ็นดูที่เกินเหตุของเรา ทำร้ายกระต่ายที่เรารักโดยไม่ตั้งใจ
อะไรคืออาหารที่เหมาะสมสำหรับกระต่าย?ที่จริงแล้ว อาหารหลักของกระต่ายคือ หญ้า เพราะสัตว์กินพืช ขนาดกระต่ายนี่ มันไม่มีปัญญาจะปีนป่ายขึ้นไปกินอะไรได้ แต่ก็นั่นแหละ ถ้าจะบอกว่าการเลี้ยงกระต่ายโดยให้กินเฉพาะหญ้าอย่างเดียวก็คงไม่มีใครเชื่อ ที่สำคัญก็คือ แม่ ๆ พ่อ ๆ ที่เลี้ยงกระต่ายอยู่ในเมือง แล้วรักเหมือนลูกอย่างพวกเรานี่ จะไปหาหญ้าหลากหลายชนิดจากที่ไหนให้เขา อีกอย่างหนึ่งอาหารกระต่ายที่ผลิตออกมาขายกันนั้นมีมากมายและล้วนแต่บรรยายสรรพคุณกันสุด ๆ ทั้งนั้น ซึ่งก็เหมาะสมเช่นกันที่จะนำมาเลี้ยงกระต่ายในห้องหรือในบ้านของเรา บทความนี้จึงขอเดินสายกลาง คือขอให้คำแนะนำที่ถูกต้องและทำได้ ในการให้อาหารกระต่ายโดย ขอให้แบ่งช่วงวัยของกระต่ายออกเป็น ช่วง ๆ ดังนี้
1. กระต่ายวัยทารก (Infant/Baby) คือกระต่ายแรกเกิดจนถึง 1 เดือนครึ่ง
อาหารหลักของกระต่ายวัยทารก ช่วงแรกเกิดจนถึง 15-20 วัน คือนมแม่เพียงอย่างเดียว พ้นจากนั้น กระต่ายน้อยจะเริ่มกินอาหารเม็ด(สำหรับกระต่ายเด็ก) ได้ ช่วงที่ควรกินแต่นมแม่นั้นเราไม่ควรเข้าไปยุ่งอะไร นอกจาก กรณี ต่อไปนี้ :-
แม่ตาย / แม่ไม่เลี้ยงลูก / แม่มีลูกมากเกินไปจนบางตัวแย่งเขากินไม่ทัน
และอีกกรณีหนึ่งคือ ไปได้กระต่ายเด็กหรือลูกกระต่ายอายุน้อย ๆ มาเลี้ยง ทั้งโดยตั้งใจและไม่ตั้งใจนมที่พอจะหาได้และใกล้เคียงนมแม่กระต่ายที่สุดที่นิยมใช้กันเพื่อป้อนทารกกระต่าย มี 2 ยี่ห้อ คือ Esbilac และ KMR นมที่ใช้เสริม ในกรณีที่กระต่ายถูกพรากจากอกแม่ในวัยที่น้อยกว่า 1 เดือนครึ่ง อาจใช้ Esbilac และ KMR หรือประหยัดหน่อยก็เป็นนมแพะ ชนิด Sterilize ร่วมกับอาหารเม็ดสำหรับกระต่ายวัยเด็ก
2. กระต่ายวัยเด็ก (Kids) คือเริ่มจากหย่านม ( ประมาณ 1 เดือนครึ่ง) จนถึง 3 เดือน
มีอาหารเม็ดหลากหลายชนิดที่ตั้งใจผลิตกันขึ้นมาเพื่อกระต่ายวัยนี้ ซึ่งเป้นวัยที่ต้องการสารอาหารกลุ่มโปรตีนและแคลเซียมสูง เพื่อใช้ในการพัฒนากล้ามเนื้อและโครงสร้าง ยี่ห้อที่คุ้นหู้คุ้นตา คือ Oxbow รุ่น15/25 และ ยี่ห้อ Prestige รุ่น Junior และอีกหลากหลายชนิด
ในวัยเด็กนี้ ตามธรรมชาติ กระต่ายจะเริ่มกินหญ้าแล้ว แต่ในบ้านเรา มักจะบอกต่อ ๆกันมาว่า ห้ามให้ผักและหญ้าสดกับกระต่ายที่อายุไม่ถึง 3 เดือน ซึ่งผมก็เห็นด้วยและขอเสริมเหตุผลให้ดังนี้
ในเมืองใหญ่ หรือแม้ในชนบทซึ่งมีการทำไร่ทำสวน ที่ต้องฉีดยาฆ่าแมลงกันมากมายนั้น การจะหาหญ้าที่สดสะอาดปราศจากสารเคมีและไข่พยาธิ ไข่แมลง นั้นเป็นเรื่องยากเย็นยิ่งนัก จึงจำเป็นต้องแนะนำด้วยเหตุผลกันว่าในวัยเด็กที่อายุยังไม่ถึง 3 เดือนนี่ น้ำหนักเขาน้อยมาก สารเคมีเพียงนิดเดียว (ไม่กี่ ppm) ที่กระต่ายใหญ่พอรับและขจัดได้ ก็อาจก่อให้เกิดอันตรายกับกระต่ายเล็ก ๆ ได้มากเพราะเมื่อเทียบปริมาณสารพิษกับน้ำหนักตัวแล้วนับว่าสูงทีเดียว
อีกประการหนึ่ง ร่างกายกระต่ายน้อยยังไม่แข็งแรง และระบบการกำจัดสารพิษยังไม่ดีพอที่จะจัดการกับสิ่งแปลกปลอมได้ โดยเฉพาะอย่างยิ่ง ระบบการกรองสารเคมีจากเลือดสู่สมองซึ่งจะพัฒนาเต็มที่เมื่อย่างเข้าอายุ 3 เดือน และนี่คือเหตุผลว่า ทำไมคุณหมอถึงไม่หยดยากำจัดพยาธิให้กระต่ายที่อายุไม่ถึง 3 เดือน
สรุปได้ว่า กระต่ายเด็กที่ยังอายุไม่ถึง 3 เดือน ควรให้อาหารเม็ดสำหรับกระต่ายเด็กเสริมด้วยหญ้าแห้งที่ผลิตมาอย่างสะอาด เน้นหนักที่หญ้า (ต้นถั่ว) แห้งที่มีชื่อว่า Alfalfa เนื่องจากมีโปรตีนและแคลเซียมสูงดี
การให้อาหารกระต่ายในวัยเด็ก ผู้เลี้ยงกระต่ายมืออาชีพ นิยมให้อาหารแบบ Free Feed หมายความว่า ให้กินได้เรื่อย ๆ ไม่จำกัด เพื่อให้พัฒนาการทางร่างกายของน้องต่ายโตเต็มที่
3. กระต่ายวัยรุ่น (Junior) คือช่วงหลัง 3 เดือน จนถึง 5 หรือ 6 เดือนแล้วแต่สายพันธุ์
กระต่ายวัยรุ่น กำลังมีพัฒนาการทางร่างกายที่ยังคงต้องการอาหารที่มีคุณค่าโปรตีนและแคลเซียมสูงอยู่ จึงยังคงให้กินอาหารสำหรับกระต่ายเด็กต่อไป ที่ต่างออกมาคือพออายุได้ 3 เดือน ระบบต่าง ๆ ในร่างกายของน้องต่ายก็สมบูรณ์พอในขณะเดียวกัน น้ำหนักก็มากพอ สมควรที่จะเริ่มให้หญ้าสดกินได้แล้ว หญ้าสดที่หาได้ง่ายในบ้านเราและมีคุณค่าทางอาหารทีดีคือ หญ้าขน นี่เอง
ควรเลือกตัดมาเฉพาะยอด มีใบ 3 – 4 ใบ ใน 1 ก้าน นำมาแช่ในน้ำยาล้างผัก ซึ่งก็เป็นตัวเดียวกันกับน้ำยาล้างขวดนม ซึ่งเป็นสารที่สกัดมาจากมะพร้าวและข้าวโพด แช่อยู่ 10 นาทีก็สบัดน้ำทิ้ง เพื่อล้างฝุ่นผงและสิ่งแปลกปลอม ถัดจากนั้นก็ล้างด้วยน้ำเปล่า 1 ครั้งแล้วแช่ในน้ำที่ผสมโซเดียมไบคาร์บอเนต อีก 10 นาที เพื่อขจัดสารเคมีตกค้างที่เป็นอันตราย ล้างน้ำเปล่าอีก2-3รอบ สบัดเบา ๆ แล้วผึ่งให้หมาดน้ำก่อนเสิร์ฟ
การเริ่มให้หญ้าสด ควรเด็ดเฉพาะยอดแหลม ๆ พร้อมใบ อีก 1 ใบ ให้กินตัวละ 1 ก้านก่อน แม้ว่าน้องต่ายจะหม่ำกร้วม ๆๆ รวดเดียวหมดแล้วทำท่ากระดี๊กระด๊า ตะกายกรง ประมาณว่า เอาอีก ๆๆ ก็ขอความกรุณาอย่าใจอ่อนเด็ดขาด รอดูอาการว่า ถัดจากนั้น อึเขายังเป็นปกติดี ไม่เหลว และไม่มีสัญญาญอันตรายใด ๆ วันต่อมาค่อยให้ 2 ก้าน แล้วดูอาการ หรือค่อย ๆเพิ่ม แต่ไม่เกินวันละ 4 ก้าน จนครบ 1 สัปดาห์ ถ้าทุกอย่างเป็นปกติ จะให้เท่าไหร่ก็เอาเลย
วัย 3 เดือนครึ่ง คือหลังจากให้หญ้าขนมาราว ๆ 1-2 อาทิตย์ ก็ลองให้ผักเสริมในช่วงเช้า ๆ หรือ ค่ำ ๆ ให้คราวละชนิดก่อน เมื่อไม่มีสัญญาณอันตรายใด ๆ ก็จัดจานผักสลัดให้ได้เลย
สลัดผักสดที่ Bunny Delight ให้กับน้องต่ายของเรา อาทิตย์ละ 3-4 วัน คือ ผักกวางตุ้งฮ่องเต้ คะน้าฮ่องกง ผักกาดหอม แครอทหั่นชิ้นเล็ก ๆ ข้าวโพดหวาน(ดิบ) แกะเมล็ด (อย่าให้มาก จะอ้วน) และแอปเปิ้ล (ระวังแกนและเมล็ด มีพิษจ้ะ) นาน ๆทีก็มี เซอราลี่ บ้าง คึ่นช่ายบ้าง กระเพรา ให้ตัวละ 1 ก้าน อาทิตย์ละ 1 ครั้ง
ผักที่ต้องห้ามสำหรับกระต่ายคือ ผักบุ้ง เพราะมียาง-ระบบย่อยอาหารของกระต่ายอาจรวนได้ / ถั่ว,กะหล่ำปลี ไม่ควรให้เพราะทำเกิดแกสในกระเพาะทำให้ท้องอืด และ กระถิน เพราะมีสารพิษที่ชื่อ Mimosine ทำให้ระบบการย่อยอาหารผิดปกติ ขนร่วง และต่อมไทรอยด์โต(คอพอก) สาร Mimosine นี้อาจลดลงได้ถ้าตากแดดหรืออบความร้อนในขบวนการผลิตอาหารสัตว์ระดับโรงงาน แต่สำหรับเรา ๆ เลี่ยงได้ก็เลี่ยงไว้ก่อน จะปลอดภัยกว่า
4. กระต่ายโตเต็มวัย (Adult /Senior) เป็นกระต่ายที่พ้นวัยรุ่นมาแล้ว เข้าสู่วัยเจริญพันธุ์
เมื่อกระต่ายเริ่มอายุได้เกือบ ๆ 6 เดือน พัฒนาการต่าง ๆ จะถึงจุดคงที่แล้ว ต้องเปลี่ยนอาหารเป็นอาหารสำหรับกระต่ายโต ซึ่งจะลดปริมาณโปรตีนลงและเน้น ไฟเบอร์มากขึ้น ควรผสมอาหารเม็ดสำหรับกระต่ายโต กับอาหารเม็ดเดิม แทรกเข้าไปวันละประมาณ 15 - 20 % จนครบ 1 สัปดาห์ กระต่ายก็จะชินกับอาหารใหม่ทั้งหมด จากประสบการณ์พบว่าถ้าเป็นอาหารยี่ห้อเดียวกัน แต่ต่างรุ่นกัน มักไม่มีปัญหา
การให้ Alfalfa ในช่วงวัยนี้ ควรลดลงเปลี่ยนเป็นหญ้าแห้ง พวก Timothy / Orchard / Mountain Hay /Bermuda /ฯลฯ แทนการให้หญ้าสด และผัก ก็ให้เหมือนกระต่ายรุ่น คือให้หญ้าขนสด ตลอดวัน และเสริมผัก สัปดาห์ละ 3-4 ครั้ง เลิกการให้อาหารแบบ Free Feed แล้วเริ่มคุมปริมาณอาหารเม็ดไว้ที่ 40-50 กรัม ต่อน้ำหนักตัว 1 กิโลกรัม ถ้าเขากินจนหมดแล้วยังหิวอยู่ เขาจะกินหญ้าสดและหญ้าแห้งแทนเอง ถ้าให้อาหารเม็ดมากไป จะอ้วน ทำให้อ่อนแอ ผสมพันธุ์ติดยาก
หญ้าแห้งจะช่วยให้ฟันหน้าของกระต่ายสบกันสนิท เนื่องจากต้องบดเข้าหากันในขณะเคี้ยวหญ้า ถ้ากระต่ายกินแต่อาหารเม็ดซึ่งขบปุ๊บแตกปั๊บ ฟันของกระต่ายจะไม่ได้บดเข้าหากันเหมือนเคี้ยวหญ้า อาจจะงอกยาวออกมาทำให้ฟันผิดรูปได้
5. กระต่ายที่เริ่มตั้งท้อง และช่วงให้นมลูก
เมื่อกระต่ายท้อง กระต่ายต้องการสารอาหารมากสำหรับบำรุงตัวเองและลูกในท้อง ยังคงใช้อาหารสำหรับกระต่ายโต แต่กลับมาเสริมโปรตีนและแคลเซียมด้วย Alfalfa ในขณะเดียวกัน ปริมาณอาหารเม็ดและหญ้า ต้องให้มากพอ หรืออาจจะ Free Feed เลยก็ได้ ส่วนผักสด เพิ่มปริมาณข้าวโพดหวานดิบ และควรเสริมเซอราลี่ ให้ด้วย จะช่วยให้แม่กระต่ายสร้างน้ำนมได้ดีขึ้น
ให้อาหารแบบนี้กับกระต่ายหลังหย่านมลูกต่อไปอีกประมาณ 1 เดือน เพื่อฟื้นฟูร่างกายให้แข็งแรงดี แล้วจึงค่อยปรับอาหารให้เป็นอาหารของกระต่ายโตธรรมดา ต่อไป
6. กระต่ายมีอายุ...อันนี้พูดยาก ว่าจะเริ่มที่อายุเท่าไหร่ เป็นว่าพ้นวัย(ที่ควรจะ) ผสมพันธุ์ก็ แล้วกัน คือตกอยู่ในช่วง 4 ปีขึ้นไปสำหรับกระต่ายเพศเมีย ส่วนเพศผู้ก็อาจประมาณ 5 ปี
กระต่ายเลี้ยงนี่ มีอายุยืนนะครับ อาจจะประมาณ 10 ปีถึง 15 ปี พออายุมาก ๆ คือเกินกว่า 4-5 ปีแล้วนั้น แทบไม่มีกิจกรรมอะไรแล้ว เอามาปล่อยสนามหญ้า ก็วิ่ง เปาะๆ แปะๆ 2-3 นาทีก็นอนเหยียด ตาปรือ เอามาอุ้มเล่นได้ง่าย ไม่หือไม่อือ ไม่ดิ้นไม่ตะกาย เพราะนอกจากจะคุ้นกับเราจนเป็นเพื่อนรักไว้ใจกันได้สนิทใจแล้ว ก็ยังไม่รู้จะซนไปหาอะไรอีกแล้วด้วย อาหารที่เหมาะกับกระต่ายวัยนี้ จึงน่าจะเป็นหญ้าต่าง ๆ เน้นแต่ไฟเบอร์เป็นหลัก ให้โปรตีนให้แคลเซียมมากไปก็เดือดร้อนไต ที่ต้องขับออก ดังนั้นก็ให้อาหารเม็ดสำหรับกระต่ายโตบ้าง แต่ไม่ต้องมาก 30-40 กรัม ต่อน้ำหนักตัว 1 กิโล ก็พอแล้ว วางหญ้าแห้ง (ที่ไม่ใช่ Alfalfa) และหญ้าสด ให้เป็นหลัก วัยนี้ ผอมนิดหน่อยดีกว่าอ้วนเกินครับ เขาจะได้นอนหนุนตักเราเล่นไปนาน ๆ
อาหารที่สำคัญสุด ๆของกระต่ายวัยเกษียณ คือ อาหารใจครับ อุ้มเล่น ลูบหัวลูบตัวพูดคุยกับเขา อย่าละเลยทอดทิ้ง อย่าเห่อกระต่ายใหม่ ๆ จนลืมเขา นะครับ
ภาชนะใส่อาหาร
ภาชนะที่ดี คือถ้วยเซรามิกทรงกลมหรือรี ที่มีขอบตั้งตรง สูงประมาณ 3 ซ.ม. ขนาดของถ้วยต้องไม่ใหญ่จนกระต่ายเอาก้นเข้าไปแหย่ได้ง่าย ๆ เพราะกระต่ายหลายตัว ชอบอึ และ/หรือ ฉี่ ใส่ถ้วย ในขณะเดียวกันก็ไม่ควรเล็กมากเพราะน้ำหนักเบา กระต่ายจะคาบเหวี่ยงได้ง่ายเกินไป ที่ใช้อยู่และรู้สึกพอดี คือขนาดเส้นผ่าศูนย์กลางประมาณ 10-15 ซ.ม.
ขอยืนยันให้ใช้ถ้วยแบบเซรามิก (กระเบื้องเคลือบ) เพราะทำความสะอาดง่าย แห้งไว ถ้วยแบบชามดินเผานี่ใช้ใส่หญ้าแห้งได้ แต่ใส่อาหารไม่เหมาะจึงไม่ขอแนะนำ เพราะชื้นง่ายแห้งยาก ราขึ้นอีกต่างหาก เปียกฉี่เปียกน้ำที ล้างแล้วรอครึ่งวันยังไม่อยากจะแห้งดีเลย แต่ถ้ามีผลัดเปลี่ยน 2 ชุด ก็พอใช้ได้ครับ
การอึหรือฉี่ใส่ถ้วยอาหารของกระต่าย อาจเกิดจากการที่เขาต้องการสร้างกลิ่นว่า ถ้วยนี้เป็นของเขา แต่ในบางกรณี เช่น ถ้าฟันของเขาเก ยาว หรือปากเจ็บ กระต่ายก็ “จำเป็น” ต้องฉี่ใส่อาหาร ให้มันนิ่ม จะได้กินง่าย ดังนั้น ถ้าพบว่ากระต่ายฉี่ใส่ถ้วยอาหาร ขอให้รีบอุ้มกระต่ายมาดูว่าปากและฟันของเขามีปัญหาอะไรหรือเปล่า
เกือบลืมไป ว่า น้ำสะอาด คืออาหารที่จำเป็นมากสำหรับกระต่าย ยิ่งกระต่ายที่กินหญ้าแห้งและอาหารเม็ดซึ่ง “แห้ง” มากเมื่อเทียบกับอาหารในธรรมชาติ กระต่ายก็ยิ่งต้องการน้ำมากขึ้นไปอีกบทความดีๆจาก http://www.bunnydelight.com/ ขอบคุณคะ
รักแรกพบ
ไม่เคยเชื่อว่าจะตกหลุมรัก แต่ว่าการตกหลุมรักครั้งนี้จะเกิดขึ้นได้ระหว่างคนกับกระต่าย
เริ่มเรื่องละนะ อ๋อ ขอบอกว่าพระเอกของเรื่องเค้าชื่อ "น้อง Milk"
การพบกันของเราเกิดขึ้นที่เชียงใหม่ ในช่วงเทศกาลวันคริสมาสต์ ที่ความหนาวกำลังปกคลุมทั่วเมืองเหนือ
ตอนนั้นฉันกำลังจะกลับเข้าหอพัก แต่สายตาต้องมาหยุดมองบริเวณที่เค้าขายของประจำสัปดาห์ ทำให้ฉันได้เห็นเค้า น้อง Milk (แต่ตอนนั้นคนขายตั้งชื่อว่า แมวน้อย)ผู้ซึ่งพกความขาว อวบอึ๋ม พร้อมกับสายตาที่ยั่วยวน ส่งมาให้ บวกกับความขี้อ้อนทำให้จิตใจของฉันหวั่นไหว อดรนทนไม่ได้ ที่จะพาเค้าเข้ามาเป็นส่วนหนึ่งของชีวิตและนับตั้งแต่นั้น ธันวาคม 2545 ชีวิตฉันจากผู้หญิงธรรมดาคนนึง ต้องกลายมาเป็นพี่เลี้ยงลูกลิง (เฮ้อ!!!)
แล้วคุณละทำไมถึงหลงรักกระต่าย